วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Knowledge Workers แรงงานในยุค Knowledge Economy

ในการบรรยายของผมในวันแรกของวิชา Management Information Systems ของหลักสูตร MBA... ท่านจะยอมปรับเปลี่ยนตัวเองหรือท่านจะยอมตายจากไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น

พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ
settapong_m@hotmail.com
ประจำกรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
กรรมการกำหนดและจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่
ภายใต้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)

            ในการบรรยายของผมในวันแรกของวิชา Management Information Systems ของหลักสูตร MBA.... ผมมักจะกล่าวว่า...“Environments change faster than organizations.”.... เป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมในโลกปัจจุบันซึ่งเป็นเศรษฐกิจแห่งองค์ ความรู้... การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบมีอัตราเร่งของสิ่งแวดล้อม  การปฏิวัติทางข้อมูลข่าวสารประกอบกับความรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ท ทำให้ความรู้ต่างๆ ทุกแขนงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในทุกสองหรือสามปี.....จึงทำให้องค์กรต้องมี ความสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว... ในอนาคตต่อไปประมาณ 5 - 10 ปี โลกยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราเร่งที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว... จากหนังสือ IT’S ALIVE ของ Christopher Meyer กล่าวไว้ว่า “Every enterprise either adapts to its environment, or dies” นั่นคือ.... ท่านจะยอมปรับเปลี่ยนตัวเองหรือท่านจะยอมตายจากไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น 
           ความรู้และเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากกว่าวัตถุดิบ ที่เป็นส่วนประกอบของสินค้า ดังนั้นแรงสมองจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขันมากกว่าแรงงาน และเทคโนโลยี จึงเป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขันมากกว่าทรัพยากรธรรมชาติ.....จึงทำให้ช่วง เวลาสองถึงสามปีที่ผ่านมาท่านผู้อ่านจะเห็นว่ามีการผลิตหนังสือด้านการบริ หาร การจัดการที่พูดถึง  Knowledge Workers กันมากเหลือเกิน....Knowledge Workers หรือท่านอาจจะพบในหนังสือบางเล่มที่ใช้ในภาษาไทยว่า “แรงงานเปรื่องปัญญา” นั่นเอง

           เศรษฐกิจแห่งองค์ความรู้หรือ Knowledge Economy ต้องพึ่งพา Knowledge Workers เป็นอย่างมาก ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ด้านทฤษฎี มีความรู้เฉพาะทางและมีประสบการณ์ เช่น แพทย์ ทนายความ อาจารย์  นักการเงินการบัญชีและวิศวกร เป็นต้น...แต่กลุ่มที่มีความต้องการสูงในขณะนี้คือ  Knowledge Workers ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ  คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมและอาจรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งเราอาจเรียกเป็นภาษาไทยว่า “นักเทคโนโลยีเปรื่องปัญญา”  ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับค่าจ้างสูงกว่าแรงงานแบบมีทักษะดังเดิม...... ในช่วงศตวรรษที่ 20 แรงงานที่ไร้ทักษะในโรงงานอุตสาหกรรมเคยเป็นพลังอันสำคัญยิ่งใหญ่ทาง เศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง.....แต่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นช่วงเวลานับจากนี้....นักเทคโนโลยีเปรื่องปัญญาจะกลายเป็นพลังสำคัญ ทางเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง  

           ความรู้เป็นสิ่งที่ล้าสมัยได้อย่างรวดเร็วมาก..... มีการคาดไว้ว่าใน 5 ปีข้างหน้า ความรู้จะเพิ่มพูนขึ้น 100% ในทุกๆ 6 เดือน.....นั่นคือมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ Knowledge Workers จะต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา....จึงส่งผลให้รูปแบบใหม่ของการศึกษา ต่อเนื่องจะเน้นการเพิ่มพูนความรู้ในวิชาชีพเฉพาะในด้านต่างๆให้กับ Knowledge Workers......  การศึกษาต่อเนื่องจะเป็นธุรกิจที่เติบโตมาเป็นอันดับหนึ่งภายใน เวลาอีก 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า....แต่ในเวลาอีก 5 ปีต่อจากนี้ไป เราจะเริ่มเห็นมีการสอนหลักสูตรสำหรับ Knowledge Workers และนักบริหารระดับสูงผ่านทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบเพราะพวกเขาเหล่า นี้ไม่มีเวลาที่จะเข้าศึกษาในระบบแบบมีห้องเรียนปกติอีกต่อไปแล้ว.... การศึกษาในยุคเศรษฐกิจแห่งองค์ความรู้  จะมีราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ  ในขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคมีราคาลดลง...การปฏิวัติสารสนเทศจะส่งผล ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่กับระบบและรูปแบบการศึกษาในมหาวิทยาลัย  จะยิ่งส่งผลกระทบมากกว่าต่อการศึกษาต่อเนื่องของ Knowledge Workers....แบบที่เรียกว่า Anywhere Anytime

           การศึกษาของ MIT  ในปี 1989ได้พบว่าความล้มเหลวของบริษัทในสหรัฐฯ เกิดจากการที่ผู้บริหารระดับสูงมองเทคโนโลยีในฐานะที่เป็นทรัพยากรการดำเนิน งานมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยในการกำหนดรูปแบบกลยุทธ์ของธุรกิจ  การที่บริษัทไม่สนใจในการทำ R&D ด้านข้อมูลข่าวสารและไม่สนใจในการจัดการข้อมูลขององค์กรเพื่อนำมาช่วยในการ ปรับกลยุทธ์ขององค์กร ก็จะทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กรลดต่ำลง....จึงทำให้เกิดแนว โน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาก็คือภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและภาค วิชาการจัดการการดำเนินงาน (Operation Management) ในคณะบริหารธุรกิจ จะรวมเป็นภาควิชาเดียวกัน (อาจจะเรียกว่าภาควิชา IT and OM).... แนวโน้มนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้บริหารส่วนใหญ่ยังคงเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่า  สารสนเทศเป็นงานของหัวหน้าฝ่ายศูนย์ข้อมูลสารสนเทศซึ่งแท้จริงนั้นพวกเขา เป็นเพียงผู้สร้างเครื่องมือเท่านั้น..... ผู้บริหารต่างหากที่จะเป็นผู้ใช้เครื่องมือเหล่านั้น...ในอนาคตข้างหน้าผู้ บริหารระบบสารสนเทศและผู้บริหารระบบการเงินการบัญชีอาจเป็นคนๆเดียว กัน...องค์ความรู้ที่อาศัยความชำนาญพิเศษด้านเทคโนโลยีดังกล่าวจึงกลายเป็น ทรัพยากรอันทรงคุณค่ามากขึ้นและอาจมีผลให้ Knowledge Workers  ด้านเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มคนที่องค์ต้องการอย่างยิ่ง....

           Knowledge Workers  ต้องเคลื่อนย้ายเพื่อทำงานในหลายๆ Project  ตลอดเวลาเพราะระบบสื่อสารเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากทำให้การติดต่อ สื่อสารง่ายขึ้น  อัตราการเปลี่ยนงานก็จะสูงขึ้น.... อาจเป็นการย้ายไปทำงานในบริษัทแห่งใหม่ หรือข้ามไปทำงนในประเทศอื่น....ดังนั้นคนที่เก่งที่สุด  และทะเยอทะยานที่สุดจึงต้องจากไปจากองค์กร....ไปในที่ๆให้คุณภาพชีวิตที่ดี กว่าแก่พวกเขา....

           ความรู้และเทคโนโลยีจะทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดดังนั้น...หน้าที่ของรัฐบาล ที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือดึงดูดคนเก่งเอาไว้...  ถ้ารัฐบาลไม่ให้ความสนใจที่จะดึงคนเก่งเหล่านี้เอาไว้... อีกทั้งไม่ให้การศึกษาที่ดีพอต่อประชากรของตน…เศรษฐกิจก็จะย่อยยับแบบก้าวกระโดดเช่นกัน.... THAILAND จงเจริญ
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก www.scimath.org