วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองหลวงที่รถติดมากที่สุด

เว็บไซท์ของสำนักข่าว บีบีซี ของอังกฤษ ระบุว่า หลังจากได้รายงานข่าวเรื่องปัญหาการจราจรติดขัดในเซา เปาโล เมืองใหญ่อันดับที่สองของบราซิล ที่เผชิญปัญหารถติดยาวถึง 180 กิโลเมตร ในบางจุด ซึ่งพบว่า ได้รับการตอบสนองจากผู้อ่านจากทั่วโลก ทำให้มีการเสนอชื่อเมืองหลวงที่เผชิญปัญหารถติดวินาศสันตะโรที่สุด 10 แห่ง และแห่งแรกที่ถูกกล่าวขวัญถึงคือ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย
ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้เลวร้ายลง นับตั้งแต่รัฐบาลใช้นโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก บวกกับความปรารถนาของคนไทยที่อยากจะมีรถเป็นของตัวเองเพื่อยกระดับทางสังคม ทำให้มีรถยนต์มากถึง 5 ล้านคน แออัดกันอยู่ในกรุงเทพฯ ที่จริง ๆ แล้ว ถนนในเมืองหลวงแห่งนี้ รองรับรถยนต์ได้ไม่ถึง 2 ล้านคัน
การสัญจรในกรุงเทพฯ ในระยะทางเพียง 50-60 กิโลเมตร ต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง ผู้อ่านคนหนึ่ง บอกกับบีบีซีว่า เคยตกอยู่ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ และต้องเสียเวลาถึง 2 ชั่วโมง ในการเดินทางไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เพื่อน ๆ ของเขาเคยไปทำงานสายถึง 4 ชั่วโมง และคิดว่า กรุงเทพฯควรจะให้ความสนใจต่อระบบขนส่งสาธารณะให้จริงจังกว่านี้ เพื่อให้คนได้ทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า ที่จะมัวมานั่งติดอยู่บนถนน วันละหลายชั่วโมง และเมื่อสองหรือสามสัปดาห์ก่อน การเดินทางจากจังหวัดปทุมธานี ไปยังใจกลางกรุงเทพฯต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงครึ่ง ทั้งที่เมื่อก่อนใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง
เมืองหลวงที่มีปัญหาการจราจรติดขัดแห่งที่สอง คือ กรุงจาการ์ต้า ของอินโดนีเซีย ชาวกรุงจาการ์ต้ามีคำเรียกสถานการณ์รถติดที่พวกเขาเผชิญว่า " มาเซ็ท " เพราะต้องวางแผนชีวิตกันตลอดทั้งวันเพื่อรับมือกับปัญหารถติด เพราะแม้การเดินทางระยะใกล้ก็อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง และบางส่วนของเมืองก็เผชิญปัญหารถติดไม่เปลี่ยนแปลง และยิ่งโชคร้าย ที่ผู้คนมีทางเลือกน้อยมาก ระบบขนส่งสาธารณะไม่อำนวย และแม้จะมีการจัดเลนสำหรับรถประจำทางในกรุงจาการ์ต้า แต่แทบไม่ช่วยอะไร ขณะที่การจราจรตามสี่แยกยังคงติดขัด
แห่งที่สาม คือ กรุงไนโรบี เมืองหลวงของเคนยา อดีตอาณานิคมของอังกฤษ ที่ต้องเผชิญปัญหารถติดเพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวงเวียน รถหลายคันไม่สามารถสัญจรต่อไปได้เพราะติดรถที่อยู่บริเวณวงเวียน และยิ่งถ้ามีฝนตกพรำ ๆ ก็สามารถหลับรอในรถได้เลย
แห่งที่สี่ คือ กรุงมะนิลา ของฟิลิปปินส์ ที่เคยเผชิญสถานการณ์รถติดเลวร้ายที่สุดเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เพิ่งจะผ่อนคลายลง เมื่อรัฐบาลมีมาตรการให้เจ้าของรถ ห้ามนำรถยนต์ส่วนบุคคลออกไปวิ่งบนถนนสัปดาห์ละ 1 วัน ส่วนพวกที่ป้ายทะเบียนลงท้ายด้วย 1 หรือ 2 ห้ามเอารถไปวิ่งในวันจันทร์ และถ้าลงท้ายด้วย 3 หรือ 4 ห้ามวิ่งวันอังคาร , 5 หรือ 6 ห้ามวิ่งวันพุธ เรียบแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นช่วงสุดสัปดาห์ สามารถวิ่งได้เหมือนกันหมด และสภาพการจราจรที่แออัดก็กลับมาเหมือนเดิม
แห่งที่ห้า คือ นครมุมไบ ของอินเดีย ที่คนขับรถยนต์พากันอิจฉาคนขับรถพยาบาลที่วิ่งขอทางอยู่ตามเลนต่าง ๆ ด้วยเพราะนอกจากบนถนนจะเต็มไปด้วยรถยนต์นานาชนิดแล้วยังมีฝูงวัว , ลูกม้าและขอทาน เดินกันให้พล่านไปหมด จนคนอินเดียแทบจะคิดว่า รถยนต์ของพวกแล่นโดยอาศัยแตรรถนำทาง ไม่ใช่เชื้อเพลิง
ส่วนอีก 5 แห่งที่เหลือ ได้แก่ กรุงคัมปาล่า ของอูกันดา ที่รถติดเป็นประจำทุกเช้าและเย็นโดยเฉพาะในช่วงฝนตกหนัก บวกกับระบบระบายน้ำไม่ดี , ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐก็มีเมืองรถติดถึง 2 เมือง คือ เล็กซิงตัน รัฐเคนตั๊กกี้ และเมืองออสติน รัฐเท็กซัส , กรุงโซล ของเกาหลีใต้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องผู้ใช้รถใช้ถนนไม่สนใจสัญญาณไฟจราจร และกรุงธากา ของบังคลาเทศ
ฟังเสียง
ที่มา http://breakingnews.nationchannel.com