อึ้ง! อาคารใน
กทม.ไม่ปลอดภัยกว่า 2 ล้านหลัง รับแรงแผ่นดินไหวไม่ได้เลย 1 ล้านหลัง
นักวิชาการจี้เสริมโครงสร้างโดยเฉพาะอาคารสาธารณะสำคัญ
หลังธรณีวิทยาพบรอยเลื่อนมีพลังที่นครนายก จ่อเข้าใกล้ กทม.มากขึ้น
ส่วนการรับมือน้ำท่วม ซัด รบ.ทำสวนทาง อยากระบายน้ำแต่กลับถมคูคลอง ชี้
สร้างเจ้าพระยา 2 เป็นเรื่องเพ้อฝัน แนะทำโครงสร้างระบายน้ำใต้ดิน
เป็นกล่องแบบโครงสร้างทางด่วนบางนา-บางปะกง แก้ปัญหาเวนคืนที่ดินประชาชน
ด้าน อ.นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สอน รบ.ทำสื่อสารสาธารณะขณะเกิดภัยพิบัติ
ต้องตั้งทีมมอนิเตอร์สื่อ สังเกตการรับข้อมูลของประชาชน ชี้
อย่ารอแต่แถลงข่าวอย่างเดียว ส่วนสื่อมวลชนอย่าบีบคั้นน้ำตาแหล่งข่าว
และต้องตามประเด็นต่อหลังเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาและพัฒนา
|
|
ศ.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
|
 |
 |
วันนี้ (3 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ห้องประชุม 201 อาคารวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวระหว่างการสัมมนาวิชาการ “การบริหารจัดการสาธารณะในภาวะวิกฤตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ”
ว่า ภัยธรรมชาตินำมาซึ่งความสูญเสีย แต่ขณะเดียวกัน
ก็นำมาซึ่งบทเรียนอันล้ำค่า
ก่อให้เกิดการวิจัยและเรียนรู้การแก้ปัญหาในอนาคต ซึ่งการจะแก้ปัญหาได้นั้น
จะต้องรู้ต้นตอของภัยธรรมชาติเสียก่อน
โดยสาเหตุสำคัญนั้นส่วนหนึ่งมาจากมนุษย์ อาทิ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยที่เกิดขึ้นถี่กว่าในอดีต
เป็นเพราะมีการขยายตัวเมืองเข้าไปใกล้รอยเลื่อนมากขึ้น
การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
สูญเสียพลังงานมากขึ้น การปล่อยน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรม
และบ้านเรือนลงสู่แม่น้ำ รวมไปถึงการบุกรุกแม่น้ำและชายหาด
โดยการก่อสร้างขวางทางน้ำ เป็นต้น
ศ.ปณิธาน กล่าวอีกว่า ส่วนสิ่งที่น่ากังวล คือ
การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เราไม่ทราบจนอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติ
อย่างกรณีภูเขาไฟระเบิดใต้ธารน้ำแข็งเมื่อปีที่แล้วนั้น
นักวิทยาศาสตร์โลกไม่ได้มีการออกมาเตือนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น
การที่ออกมาระบุว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นสูงปีละเท่าใดๆ นั้น
ถือว่าผิดทั้งหมด
เนื่องจากไม่มีการคำนึงถึงเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดใต้ธารน้ำแข็งมาก่อน
ศ.ปณิธาน กล่าวต่อไปว่า สำหรับการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น
ต้องอาศัยกรอบการดำเนินงานเฮียวโงะ (Hyogo)
ซึ่งเกิดขึ้นจากการประชุมการจัดการภัยพิบัติเมื่อปี 2548 ภายหลังครบรอบ 10
ปี การเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 17 ม.ค.2538 ที่เมืองโกเบ
จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น จนเกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก
ซึ่งกรอบการดำเนินงานเฮียวโงะนั้น
จะเน้นในเรื่องของการปฏิบัติและการป้องกัน
โดยต้องมีการเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างอาคารต่างๆ ทั้งบ้าน
อาคารโครงสร้างพื้นฐาน อาคารสาธารณะที่สำคัญ อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน
เป็นต้น เพื่อให้รองรับการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้
การสร้างอาคารใหม่จะต้องถูกต้องตามหลักการรองรับแผ่นดินไหวด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ จะต้องมีการเสริมสมรรถภาพขีดความสามารถทรัพยากรมนุษย์
และรัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ถูกต้องในการรับมือกับภัยพิบัติ
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลย คือ
ประเทศเฮติ ที่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ทั้งที่มีการเกิดเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง จนเมื่อประมาณปี 2553
ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ขึ้น
แม้แต่ทำเนียบประธานาธิบดียังพังทลาย ตึกบัญชาการต่างๆ ก็พัง
ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในประเทศ ซึ่งตรงนี้ยูเอ็นได้มีการณรงค์ One
Million Safe โดยโรงพยาบาลต้องปลอดภัยจากภัยพิบัติ มีระบบสนับสนุนต่างๆ
อาทิ ไฟฟ้าฉุกเฉิน และบุคลากรต้องได้รับการฝึกฝน
สามารถจัดการกับภาวะฉุกเฉินได้ เป็นต้น” ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมฯ กล่าว
ศ.ปณิธาน กล่าวด้วยว่า หลักการสำคัญ
อีกประการในการจัดการและรับมือกับภัยพิบัตินั้น คือ ระบบรับมือ
“Resilience” ซึ่งเป็นความสามารถของระบบชุมชนหรือสังคม
ที่เผชิญภับพิบัติทางธรรมชาติแล้วสามารถต้านทานได้
มีการฟื้นตัวจากผลกระทบได้ในเวลาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้
ยังต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมด้วย
ส่วนมาตรการบรรเทาภัยพิบัตินั้น ที่สำคัญมีอยู่ 5 มาตรการด้วยกันคือ
1.การเตรียมพร้อมด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน
2.การเตรียมพร้อมระบบเพื่อการบรรเทาภัย เช่น ระบบคมนาคมฉุกเฉิน
3.มาตรการด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย 4.มาตรการด้าน Capacity Building
และนวัตกรรมการแก้ปัญหา และ 5.มาตรการด้าน Emergency Response
ศ.ปณิธาน กล่าวว่า
ในเรื่องการเตรียมพร้อมด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานนั้น
สำหรับในประเทศไทยมีการออกกฎหมายให้มีการออกแบบอาคารให้สามารถรองรับการเกิด
แผ่นดินไหวขึ้นเมื่อปี 2550
แม้ก่อนหน้าจะไม่มีการออกแบบให้รองรับการเกิดแผ่นดินไหว
แต่เชื่อว่าสามารถรองรับได้ในระดับหนึ่ง
โดยต้องมีการพิจารณาเสริมความแข็งแรงของอาคารที่ไม่ปลอดภัยเหล่านั้นให้
ปลอดภัย
“ใน กทม.มีอาคารประมาณ 2 ล้านหลัง
ที่ไม่ปลอดภัยต่อการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในจำนวนนี้มีประมาณ 1 ล้านหลัง
ที่ไม่สามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้เลย ดังนั้น
จำนวนอาคารที่มีมากเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องเลือกปรับปรุงเสริมความแข็งแรง
โดยเลือกอาคารสาธารณะที่สำคัญ อาคารโครงสร้างพื้นฐาน ทางด่วน สะพาน
โรงไฟฟ้า ประปา สถานีดับเพลิง หรือโรงพยาบาลก่อน
เพราะขณะนี้ทราบจากสำนักธรณีวิทยาว่า มีรอยเลื่อนมีพลังเข้าใกล้
กทม.มากขึ้น โดยอยู่ที่ จ.นครนายก
แต่จะมีความรุนแรงเท่าไรนั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้” ศ.ปณิธาน กล่าว
ศ.ปณิธาน กล่าวเพิ่มอีกว่า ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องไม่แน่นอน
เนื่องจากมีตัวแปรมากมาย สิ่งสำคัญคือ การเตรียมพร้อมด้านการบรรเทาภัย
อย่างกรณีน้ำท่วม
รัฐบาลใช้เงินจำนวนมากในการศึกษาน้ำท่วมเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี
มีการเสนอมาตรการสำคัญในการแก้ปัญหา
หนึ่งในนั้นคือการขุดคลองทำแม่น้ำเจ้าพระยา 2
เนื่องจากระบบระบายน้ำธรรมชาติไม่สามารถรับน้ำขณะเกิดพายุมากๆ ได้
ต้องมีระบบระบายน้ำเพิ่มเติม แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ
และทำในทิศทางตรงกันข้ามคือการถมคูคลองต่างๆไปจนหมด
ซึ่งการจะมาแก้ไขด้วยงบประมาณกว่า 3 แสนล้านบาทไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้
“เลิกฝันได้เลยกับการสร้างแม่น้ำเจ้า
พระยา 2 มันเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องมีการเวนคืนที่ดินมาก
ทำอย่างไรระบบระบายน้ำก็ไม่พอ เพราะคูคลองต่างๆถูกถมไปนานแล้ว
ผมเคยเสนอวิธีการแก้ปัญหา แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ จึงไม่มีใครฟัง
ในฐานะที่ผมเป็นวิศวกรโครงสร้าง
จึงนึกถึงการแก้ปัญหาด้วยการนำโครงสร้างทางด่วนที่มีลักษณะเป็นกล่องอย่าง
ช่วง บางนา-บางปะกง เอามาวางให้ต่ำกว่าระดับพื้นดิน
เพื่อใช้ระบายน้ำส่วนด้านบนก็ถมดิน
ชาวนาก็สามารถทำไรทำนาต่อไปได้โดยไม่ต้องเวนคืนที่ดิน
เท่ากับว่าเรามีคลองระบายอยู่ข้างล่าง
ขนาดไม่ต้องใหญ่แต่ทำเป็นร่างแหอยู่ข้างล่างไปทั่วประเทศได้” ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมฯ กล่าว
|
 |
|
น.ส.สุภาพร โพธิ์แก้ว อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
|
 |
น.ส.สุภาพร โพธิ์แก้ว
อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า
การสื่อสารสาธารณะในช่วงของการเกิดภับพิบัตินั้น
รัฐบาลต้องมีการตั้งศูนย์สารนิเทศ ที่ไม่ใช่รอเพียงการแถลงข่าวอย่างเดียว
แต่ต้องเป็นศูนย์ที่พร้อมให้ข้อมูลตลอดเวลา
เมื่อผู้สื่อข่าวมีข้อสงสัยสามารถถามแล้วได้คำตอบที่ต้องการ แต่จาก
เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา รัฐบาลรอการแถลงข่าวเพียงอย่างเดียว
มองสื่อไว้เพียงรองรับการแถลงข่าวเท่านั้น
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการตั้งทีมมอนิเตอร์สื่อ ประเมินสถานการณ์แต่ละวันว่า
ประชาชนกำลังเสพข้อมูลอะไร สาธารณชนกำลังสับสนในข้อมูลเรื่องอะไรหรือไม่
หรือมีข่าวลืออะไรเกิดขึ้น เพื่อที่จะสามารถชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจได้
น.ส.สุภาพร กล่าวอีกว่า ในส่วนของสื่อมวลชนนั้น
อยากฝากให้คำนึงถึงความเปราะบางทางจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบให้มาก
เนื่องจากเขาเป็นผู้สูญเสียไม่ควรไปตอกย้ำคั้นถามเพื่อให้ข่าวดูสะเทือน
อารมณ์ยิ่งขึ้น เช่น การพยายามซักหาลูกหลานที่หายไปกับสึนามิเจอหรือยัง
เป็นต้น ไม่ควรกระทำ
เพราะการออกข่าวให้เห็นน้ำตาหรือความฟูมฟายไม่ใช่เรื่องที่ดี
อยากให้ใส่หัวใจและมองในมิตินี้ด้วย
จึงจะไม่เป็นการเพิ่มผลกระทบโดยไม่รู้ตัว
น.ส.สุภาพร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้
เรื่องของการรายงานข่าวภัยพิบัตินั้น
ในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศให้ดูเป็นภาวะวิกฤติไปก่อน
เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกแฝงอยู่ในสังคม
แต่ควรรายงานให้สังคมรับรู้ความเสี่ยง มากกว่ารู้สึกถึงความวิกฤติ
ขณะที่ช่วงหลังเกิดภัยพิบัติไปแล้ว เนื่องจากข่าวไม่มีความสด
หรืออาจเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมาแทน
ทำให้ไม่มีการรายงานข่าวหลังภัยพิบัติมากนัก
แต่การรายงานข่าวหลังภัยพิบัติถือเป็นส่วนสำคัญ เช่น เวทีถอดบทเรียนน้ำท่วม
เป็นต้น ที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาและนำไปสู่การแก้ปัญหามากขึ้น
|