
บรรยากาศภายในงานครับ อบอุ่นกันมากๆ


คุณเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ Intel ประเทศไทยครับผม

โดยเราจะขอเน้นข้อมูลในฝั่งของ CPU Intel Ivy Bridge สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พกพานะครับ ซึ่งล่าสุดเท่าที่มีเผยรายชื่อมาก็ตามนี้
- Intel Core i7-3920XM จะมาเป็นตระกูล Extreme
- Intel Core i7-3820QM, i7-3720QM, i7-3612QM, i7-3610QM
และอีกประเด็นที่หลายๆ ท่านสนใจก็คือเรื่องของสติ๊กเกอร์ Intel ที่ได้รับการยืนยันแล้วครับว่า Intel จะใช้สติ๊กเกอร์และโลโก้แบบเดิม แต่จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มว่า CPU ในเครื่องนี้เป็น Intel Ivy Bridge นะ

ฝั่งของชิปเซ็ตนั้น ก็จะมาพร้อมกับชิปเซ็ตใหม่อย่าง Intel 7 Series ที่มีโค้ดเนมว่า Panther Point ซึ่งมีไฮไลท์ได้แก่
- Intel Rapid Storage Technology 11 ที่ช่วยจัดการระบบการทำงานของอุปกรณ์เก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- รองรับ USB 3.0 ในตัว
- ต่อจอได้พร้อมกัน 3 จอ
- Intel Small Business Advantage จะเป็นระบบช่วยให้งานของธุรกิจเล็กๆ สามารถทำได้ดีขึ้่น ง่ายขึ้น ตัวอย่างงานก็เช่น การ backup และ restore ข้อมูล
- รองรับ Thunderbolt

(จากในภาพ Intel Ivy Bridge จะเป็นสีน้ำเงินเข้ม และคะแนนยิ่งมากยิ่งดีกว่า)
ใน Intel Ivy Bridge นี้ จุดที่เป็นจุดเด่นที่สุดจะเป็นระบบกราฟิกในตัวที่มีชื่อว่า Intel HD Graphics 4000 ที่เราๆ ท่านๆ อาจจะพอเห็นประสิทธิภาพกันไปบ้างแล้วบางส่วน แต่มันจะไม่ได้มีแค่ตัวเดียวครับ เพราะยังจะมี Intel HD Graphics 2500 ออก
มาอีกในช่วงต้นเดือนหน้า ซึ่งจะมาพร้อมกับ CPU แบบ dual-core
(แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นรุ่นไหนบ้าง) ซึ่งเจ้า Intel HD Graphics 4000
นี้ Intel ตั้งใจจะให้เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของวงการกราฟิกใน CPU
ของตนเลยทีเดียว และมันจะกลายเป็นรากฐานการพัฒนาต่อไปยัง Intel Haswell
ที่จะมาในปีหน้าด้วยส่วนในภาพด้านบนนั้นเป็นการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Intel HD Graphics 4000 ใน Intel Core i7-3820QM กับ Intel HD Graphics 3000 ใน Intel Core i7-2860QM ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นตัวท็อปๆ ของซีรี่ย์ จะเห็นได้ว่าพลังในการประมวลผลของ Intel HD Graphics 4000 เหนือกว่ารุ่นเก่าอยู่มากพอตัวทีเดียว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากชุดคำสั่ง QuickSync ในตัว GPU ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิม ทำให้มีความเร็วในการจัดการไฟล์มีเดียได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

จากผลการทดสอบด้านบนก็จะเห็นได้ว่า Intel HD Graphics 4000
มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเก่าๆ อย่างเห็นได้ชัด โดย Intel
ตั้งใจจะให้ตัว GPU มีความสามารถในการเล่นเกมได้ในระดับหนึ่ง
และทำให้ไม่กลายเป็นข้อจำกัดอีกต่อไปว่าการ์ดจอออนบอร์ดไม่สามารถเล่นเกมได้
นอกจากนี้ยังมีข่าวจาก Valve มาอีกด้วยว่า เกม DOTA 2
ที่หลายๆ คนรอคอย จะเปิดตัวบนการ์ดจอ Intel HD Graphics 4000 แน่นอน
แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นต้นเดือนหน้าหรือเปล่า
เพราะไม่ได้บอกว่าเปิดตัวพร้อมกันนะ แต่ที่แน่ๆ
ใครที่ซื้อเครื่องที่มีการ์ดจอ Intel HD Graphics 4000 รับรองได้เลยว่าสามารถเล่น DOTA 2 ได้แน่นอน
ส่วนอีกเรื่องที่ Intel โฟกัสในปีนี้ก็คือกลุ่มของ Ultrabook ซึ่งในเฟสสองนี้จะมาพร้อมกับ Intel Ivy Bridge ซึ่งมีการพัฒนามากขึ้นในหลายๆ ด้าน เช่น
- ประสิทธิภาพในการประมวลผล
- ประสิทธิภาพของระบบกราฟิก
- ใช้งานแบตได้ยาวนานขึ้น
- เครื่องบางลง
- เปิดเครื่องได้เร็วขึ้น โดยในสไลด์ถึงขั้นบอกว่าจะเปิดใช้งาน Facebook ได้ภายใน 1 วินาที !!
- สามารถสั่งงานด้วยเสียงและระบบการโบกมือ (แบบเดียวกับ Gesture Control ใน Sony VAIO)
- เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล

โดยภาพรวมของ Ultrabook นั้น แน่นอนว่าราคาจะถูกลงกว่าในปัจจุบัน ซึ่งจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากมี Ultrabook ที่ใช้ Intel Ivy Bridge ลงสู่ท้องตลาดแล้ว และจะมากลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาในแบบที่เข้าถึงผู้ใชได้มากยิ่งขึ้นเนื่อง ด้วยกลไกราคาที่ดันให้ราคาเครื่องถูกลง และอีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้ Ultrabook มีราคาถูกลงก็คือจะเริ่มมีการใช้วัสดุของตัวเครื่องเป็นประเภทอื่น จากที่ในปัจจุบันเป็นโลหะ ต่อไปเราอาจจะได้เห็น Ultrabook ที่ใช้วัสดุเป็นไฟเบอร์กลาสหรือพลาสติกมากขึ้นครับ

ซึ่ง Intel ได้วางไว้ว่า Ultrabook จะต้องตอบสนองต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านของ Responsive ที่นอกจากเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการตอบสนองของระบบแล้ว ยังรวมไปถึงส่วนสัมผัสและการใช้งานเครื่องอีกด้วย
โดยสิ่งที่เราจะได้เห็นจาก Ultrabook ในช่วงปลายไตรมาสที่สามถึงไตรมาสที่สี่ของปีนี้ก็คือ Ultrabook ที่มาพร้อมกับจอสัมผัส และ อีกแนวคิดที่จะใช้ในการผลิต Ultrabook ก็คือการทำให้จอสามารถถอดออกมาเพื่อใช้เป็นแท็บเล็ตได้ หรืออาจจะเป็นแบบที่สามารถหมุนจอพลิกกลับมาด้านหลังได้ (อย่าง Lenovo IdeaPad Yoga)

ภาพข้างบนเป็นการนำเสนอว่าสิ่งที่ Ultrabook จะต้องทำได้โดยพื้นฐานซึ่งจะอยู่ใต้เส้นสีดำยาวในแนวนอน ส่วนเหนือเส้นขึ้นไปนั้น เป็นสิ่งที่ Ultrabook ควรจะทำได้ในปีนี้ นั่นคือระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ควรจะมากกว่า 8 ชั่วโมง และอีกข้อหนึ่งที่ Intel ย้ำและให้ความสำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่าง Intel Anti-Theft Technology

โดยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลนั้น Intel จะยกให้เป็นเรื่องที่ Intel โฟกัสมากที่สุดในเฟสที่สองของ Ultrabook (ช่วงหลังจากนี้เป็นต้นไป) ซึ่งในชิปเซ็ตของ Intel Ivy Bridge จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Intel Anti-Theft ที่ช่วยปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลในเครื่องให้ยังคงอยู่ครบถ้วน แม้ว่าจะเครื่องจะโดนขโมยก็มั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญจะไม่สูญหายแน่นอน

โดยตัวของ Intel Anti-Theft นั้นมีคุณสมบัติและการทำงานได้แก่
- ในขณะนี้ยังใช้งานได้เฉพาะบน Windows 7 เท่านั้น และแน่นอนว่ารองรับ Windows 8 ด้วย ส่วน OS อื่นๆ เช่น OS X, Linux นั้นยังไม่แน่ชัดว่าจะรองรับหรือไม่
- ผู้ใช้สามารถสร้าง drive ลับสำหรับเก็บข้อมูลสำคัญได้ในเครื่อง ซึ่งการจะเข้าใช้งาน drive นี้ จะต้องใส่รหัสผ่านทุกครั้ง และคนอื่นนอกจากผู้ใช้จะมองไม่เห็น drive นี้ เพราะต้องใส่รหัสผ่านจึงจะมองเห็น drive ได้ เรียกได้ว่าใส่รหัสล็อกไว้ 2 ชั้นเลยทีเดียว
- แม้จะเปลี่ยนนำ HDD/SSD ออกไปใส่เครื่องอื่นก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลใน drive ลับได้ และข้อมูลจะยังคงอยู่ตลอดไปแม้จะสามารถ format HDD/SSD ได้ก็ตาม แต่จะถูกซ่อนไว้
- ผู้ใช้สามารถสั่งล็อกการใช้งานเครื่องได้จากทุกที่ผ่านทางการใช้งานบนเว็บไซต์ของ Intel
- การล็อกเครื่องจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือแบบออนไลน์ที่ผู้ใช้สั่งงานผ่านเว็บ และแบบออฟไลน์ที่เครื่องจะล็อกตัวเองอัตโนมัติถ้าไม่มีการเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ตเมื่อถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้ตั้งไว้ (อย่างต่ำสุด 3 วัน) แต่ถ้าผู้เก็บเครื่องไป ไม่ได้ใช้เครื่องในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเลย เครื่องก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ เพียงแค่ไม่สามารถเข้าถึง drive ลับที่เข้ารหัสไว้ได้ถ้าไม่รู้รหัสผ่าน

หน้าตาของเครื่องที่ถูกล็อกด้วยระบบ Intel Anti-Theft ซึ่งจะมีตัวเลือกให้กรอกรหัสผ่านเพื่อใช้งานเครื่องได้ รวมไปถึงมีการแสดงข้อความที่ผู้ใช้ตั้งค่าไว้ได้ด้วย อย่างในตัวอย่างก็เป็นการบอกว่าถ้าพบเครื่อง ก็ให้ติดต่อกลับมาที่อีเมลของเจ้าของเครื่อง ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งค่าต่างๆ ได้จากในหน้าเว็บไซต์ครับ
ส่วนถ้าขโมยต้องการจะลง OS ใหม่ หรือแม้กระทั่งจะแฟลช BIOS ใหม่ ระบบล็อกนี้ก็จะยังคงอยู่ เพราะเป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง HDD/SSD และชิปเซ็ตเลย เนื่องจากเจ้าระบบ Intel Anti-Theft นี้จะถูกฝังอยู่ในชิปเซ็ตครับ แม้ว่าถ้าเจ้าขโมยมีความสามารถในการเปลี่ยนชิปเซ็ตได้อีก ก็ยังไม่สามารถใช้งานเครื่องได้เช่นกัน เพราะระบบจะสามารถปลดล็อกได้ก็ต่อเมื่อชิปเซ็ตและ HDD/SSD ที่เข้ารหัสไว้ทั้งคู่กลับมาทำงานร่วมกันเท่านั้น

หน้าตาของส่วนการตั้งค่าการทำงานของ Intel Anti-Theft บนเว็บครับ ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าข้อความที่ต้องการแจ้งไว้บนหน้าจอเมื่อเครื่องถูก ล็อกได้ รวมไปถึงระยะเวลาที่ต้องการให้เครื่องล็อกอัตโนมัติ (แบบออฟไลน์) ได้ด้วย
แต่ทั้งนี้ Intel Anti-Theft จะไม่ได้เปิดให้ใช้งานฟรี เพราะผู้ใช้ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องซื้อแพ็คเกจสำหรับใช้งาน Intel Anti-Theft ด้วย สนนราคาที่ 990 บาทต่อปี ผ่านร้านค้าตัวแทน ได้แก่ Ingram Micro, Synnex และ WPG นะครับ โดยเจ้าระบบ Intel Anti-Theft นี้ ถ้าผู้ใช้ซื้อแล้วใช้งานกับเครื่อง A ไปแล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนคอมใหม่ไปเป็นเครื่อง B ผู้ใช้ก็สามารถโอนสิทธิ์การใช้งานมายังเครื่อง B ผ่านทางเว็บได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ยังมีอีกคำถามที่มีการถามขึ้นมาอย่างน่าสนใจ นั่นคือถ้าระยะเวลาการใช้งานครบ 1 ปีแล้ว ระบบจะทำงานต่ออย่างไร จะปกป้องข้อมูลต่อไปหรือไม่ ??
ในประเด็นนี้ก็หายห่วงได้เลยครับ เพราะว่าตัว drive ลับที่เก็บข้อมูลไว้ก็จะยังคงเป็นความลับอยู่ ยังคงเข้ารหัสอยู่เช่นเดิม เพียงแต่จะไม่มีเซอร์วิสต่างๆ ที่ใช้งานผ่านทางเว็บอีกแล้ว เช่นการสั่งล็อกจากทางไกลในแบบออนไลน์ เรียกง่ายๆ ว่าไม่สามารถล็อกอินเข้าระบบบนเว็บได้อีกแล้วก็ได้ครับ ถ้าอยากจะใช้ก็ต้องซื้อต่อนั่นเอง

ปิดท้ายด้วย ASUS Zenbook ที่ข้างในเป็น Intel Ivy Bridge แล้วกันนะ อยากบอกว่าดีไซน์เปลี่ยนนิดหน่อยด้วยล่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://notebookspec.com/ By : ZeroSystem