
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.ศุภางค์ ตรงกมลธรรม กับผู้เสียหายรวม 22 คน ซึ่งตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ กล่าวคือ ระหว่างเดือน มิ.ย.53 ถึง ต.ค.54 นายพฤติ จารุโภคกุล ได้ชักชวนหลอกลวง น.ส.ศุภางค์ ตรงกมลธรรม กับผู้เสียหายรวม 22 คน ว่าประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับการซื้อขายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 4 ไอโฟนไอออสและแบล็กเบอร์รี่ รุ่น 9900 รวมทั้งประมูลคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ตจากแหล่งรับซื้อขาย โทรศัพท์ที่ต่างประเทศ ในลักษณะเก็งกำไร โดยมีร้านขายโทรศัพท์มือถือ ที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครองชื่อหมูแซตเทิลไลท์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นริชชี่ ชั้น 4 ฝั่งโซนคิว นายพฤติ ได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ให้กู้ยืมเป็นเงินในอัตรา ร้อยละ 10-40 ของเงินลงทุนต่อรอบการลงทุนประมาณ 25-34 วัน ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ทำให้ น.ส.ศุภางค์กับพวกหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงร่วมลงทุนและมอบเงิน ให้นายพฤติไป ซึ่งนายพฤติก็ได้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ตกลงเอา ไว้มาโดยตลอด แต่ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน นายพฤติได้ส่งข้อความว่า จะซื้อไอโฟน 5 มาขาย โดยอ้างว่าจะสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแอปเปิ้ล (Apple Computer Inc.) โดยตรงและจะเป็นผู้นำสินค้าไปขายให้กับกลุ่ม ลูกค้า หากสนใจร่วมลงทุนให้แจ้งความประสงค์ และโอนเงินเข้าบัญชี โดยจะให้กำไรถึงร้อยละ 10-42 ของเงินลงทุนต่อรอบการลงทุน 25-34 วัน ทำให้ น.ส.ศุภางค์กับพวกหลงเชื่อและโอนเงินให้ซึ่งก็ได้รับผลประโยชน์ ตอบแทนเรื่อยมา กระทั่งในวันที่ 5 ตุลาคม บริษัทแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไอโฟน 5 ได้แถลงข่าวเลื่อนการเปิดตัวไอโฟน 5 เข้าสู่ตลาดออกไปก่อน ทำให้ น.ส.ศุภางค์กับพวกสงสัยและพยายามติดต่อกับนายพฤติ แต่ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปและไม่จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้เสียหาย ที่ร่วมลงทุนตามที่ตกลง รวมเงินที่นายพฤติหลอกลวงไปจากผู้เสียหายทั้งหมดจำนวน 301,329,977 บาท พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สอบปากคำผู้เสียหาย พบว่า ผู้เสียหายไม่เคยได้รับสินค้า เพราะนายพฤฒิจะเป็นผู้นำไปขายให้เอง โดยอ้างว่ามีกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศรับซื้ออยู่แล้ว จึงสืบสวนหาร้านขายโทรศัพท์มือถือที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ตามที่นายพฤฒิ กล่าวอ้าง แต่ไม่ปรากฏว่ามีชื่อร้านดังกล่าวตั้งอยู่ หรือเคยทำสัญญาเช่าสถานที่กับห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง แต่อย่างใด นอกจากนี้ จากการสืบสวนหาข้อมูลจากกรมศุลกากร กรณีการประมูล โทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศ และการนำเข้าโทรศัพท์มือถือ ในเบื้องต้นทราบว่า ไม่มีข้อมูลการได้รับใบอนุญาตนำเข้า และใบอนุญาตจากการกรมทรัพย์สิน ทางปัญญา กรณีสินค้าลิขสิทธิ์ และจากการตรวจสอบเอกสารทางการเงินพบ ว่ามีการโอนระหว่างนายพฤฒิกับผู้เสียหายผ่านธนาคารต่างๆ จริง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับนายพฤฒิ และสามารถติดตามตัวจับกุมมาได้ในที่สุด รวมทั้งได้ทำการบุกค้นบ้านพักในย่านห้วยขวาง พร้อมกับทำการตรวจยึดเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องจำนวน 7 รายการ ไว้ทำการตรวจสอบต่อไป | |