วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดีเอสไอจับหนุ่มหลอกตั้งแชร์ลูกโซ่ "ไอโฟน 5" เหยื่อเสียหายรวมมูลค่ากว่า 300 ล้าน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก มติชนออนไลน์



วันที่ 06 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:30:00 น.
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า 
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.ศุภางค์ ตรงกมลธรรม
กับผู้เสียหายรวม 22 คน ซึ่งตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ กล่าวคือ 
ระหว่างเดือน มิ.ย.53 ถึง ต.ค.54 นายพฤติ จารุโภคกุล ได้ชักชวนหลอกลวง น.ส.ศุภางค์ ตรงกมลธรรม กับผู้เสียหายรวม 22 คน ว่าประกอบธุรกิจ
เกี่ยวกับการซื้อขายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 4 ไอโฟนไอออสและแบล็กเบอร์รี่
รุ่น 9900 รวมทั้งประมูลคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ตจากแหล่งรับซื้อขาย
โทรศัพท์ที่ต่างประเทศ ในลักษณะเก็งกำไร โดยมีร้านขายโทรศัพท์มือถือ
ที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครองชื่อหมูแซตเทิลไลท์ 
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นริชชี่ ชั้น 4 ฝั่งโซนคิว



นายพฤติ ได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ให้กู้ยืมเป็นเงินในอัตรา 
ร้อยละ 10-40 ของเงินลงทุนต่อรอบการลงทุนประมาณ 25-34 วัน 
ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ทำให้ 
น.ส.ศุภางค์กับพวกหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงร่วมลงทุนและมอบเงิน
ให้นายพฤติไป ซึ่งนายพฤติก็ได้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ตกลงเอา
ไว้มาโดยตลอด แต่ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน นายพฤติได้ส่งข้อความว่า 
จะซื้อไอโฟน 5 มาขาย โดยอ้างว่าจะสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแอปเปิ้ล 
(Apple Computer Inc.) โดยตรงและจะเป็นผู้นำสินค้าไปขายให้กับกลุ่ม
ลูกค้า หากสนใจร่วมลงทุนให้แจ้งความประสงค์ และโอนเงินเข้าบัญชี 
โดยจะให้กำไรถึงร้อยละ 10-42 ของเงินลงทุนต่อรอบการลงทุน 25-34 วัน
  ทำให้ น.ส.ศุภางค์กับพวกหลงเชื่อและโอนเงินให้ซึ่งก็ได้รับผลประโยชน์
ตอบแทนเรื่อยมา กระทั่งในวันที่ 5 ตุลาคม บริษัทแอปเปิ้ล 
ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไอโฟน 5 ได้แถลงข่าวเลื่อนการเปิดตัวไอโฟน 5 
เข้าสู่ตลาดออกไปก่อน ทำให้ น.ส.ศุภางค์กับพวกสงสัยและพยายามติดต่อกับนายพฤติ แต่ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปและไม่จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้เสียหาย
ที่ร่วมลงทุนตามที่ตกลง 
รวมเงินที่นายพฤติหลอกลวงไปจากผู้เสียหายทั้งหมดจำนวน 
301,329,977 บาท

พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สอบปากคำผู้เสียหาย พบว่า
ผู้เสียหายไม่เคยได้รับสินค้า เพราะนายพฤฒิจะเป็นผู้นำไปขายให้เอง
โดยอ้างว่ามีกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศรับซื้ออยู่แล้ว
จึงสืบสวนหาร้านขายโทรศัพท์มือถือที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง
ตามที่นายพฤฒิ กล่าวอ้าง แต่ไม่ปรากฏว่ามีชื่อร้านดังกล่าวตั้งอยู่
หรือเคยทำสัญญาเช่าสถานที่กับห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง แต่อย่างใด
นอกจากนี้ จากการสืบสวนหาข้อมูลจากกรมศุลกากร กรณีการประมูล
โทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศ และการนำเข้าโทรศัพท์มือถือ
ในเบื้องต้นทราบว่า
ไม่มีข้อมูลการได้รับใบอนุญาตนำเข้า และใบอนุญาตจากการกรมทรัพย์สิน
ทางปัญญา กรณีสินค้าลิขสิทธิ์ และจากการตรวจสอบเอกสารทางการเงินพบ
ว่ามีการโอนระหว่างนายพฤฒิกับผู้เสียหายผ่านธนาคารต่างๆ จริง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับนายพฤฒิ
และสามารถติดตามตัวจับกุมมาได้ในที่สุด
รวมทั้งได้ทำการบุกค้นบ้านพักในย่านห้วยขวาง
พร้อมกับทำการตรวจยึดเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องจำนวน 7 รายการ
ไว้ทำการตรวจสอบต่อไป