วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

อัพเดทวงการวิจัยไทย! ไขทัศนะนร.ทุนรัฐบาล


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์15 กันยายน 2554 10:10 น.
นศ.เข้าร่วมฟังเสวนา
      
       แวดวงวิชาการเมืองไทยเน้นการวิจัยหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว หน่วยงานต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยต่างมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยกันมากขึ้น หลายแห่งปรับตัวสู่วงการการวิจัย หวังนำองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นผลงานคนไทยมาพัฒนาสังคมไทยของเราเอง สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักวิจัย คือ ทุนงานวิจัย ซึ่งตอนนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ย้ำว่างบวิจัยปีนี้จะมีมากขึ้น
      
       นางกาญจนา ปานข่อยงาม รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าของแวดวงนักวิจัยไทยในงานมหกรรมการแสดงผลงานวิจัยนักเรียนทุนรัฐบาลไทย : หนึ่งสมอง สองมือ สร้างชาติ ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การวิจัยบ้านเราในภาพรวมยังไม่เห็นภาพชัดเจนมากนัก แต่ถึงกระนั้น ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อาจมีข้อติติงมาว่า ทำวิจัยออกมาแล้วไปถึงผู้ใช้หรือเปล่า หากเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ เห็นชัดว่าก้าวนำไทยไปแล้ว และหากเทียบกับญี่ปุ่นและเกาหลี ไทยเรายังด้อยอยู่ แต่หากมองเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ถือว่าอยู่ระดับกลางๆ ร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อยู่ในระดับที่สามารถทำงานเกิดประโยชน์ได้ ตอนนี้ไทยมีการปรับตัวและบูรณาการกันมากขึ้น 
      
       "รู้สึกว่ากลุ่มนักเรียนทุนเหล่านี้ เป็นสมองของประเทศชาติ มีส่วนผลักดันให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า แต่ปัญหาทั่วๆไปที่เจอเสมอ คือ นโยบายยุทธศาสตร์ การวิจัยของชาติก็จะมีผู้กล่าวว่างานวิจัยมันกว้างมาก เอามาใช้ได้จริงหรือไม่ ขณะนี้กำลังแก้ไขปัญหา มีการปรับปรุงแนวคิดโดยเน้นการมีส่วนร่วมมากขึ้น ลงสู่ชุมชนมากขึ้น ค้นคว้าจากแต่ละภาคว่าเขาต้องการแก้ปัญหาเรื่องอะไร ประมวลผลออกมาแล้วนำไปสู่งานวิจัยที่เข้าถึงชุมชนมากขึ้น จัดทำเป็นกลุ่มเพื่อที่จะสามารถของบได้ทั่วถึง ที่ผ่านมารัฐมีงบประมาณ 18,000 ล้านบาท และเอกชนอีก 8,000 ล้านบาท แต่กำลังจะเพิ่มขึ้นเป็นแสนกว่าล้านบาท และต้องมีวิธีการจัดสรรงบประมาณใหม่ ไม่เอาแบบเบี้ยหัวแตกเหมือนที่ผ่านมา เพราะมันไม่ได้ผล ภาพรวมไม่เกิด"
เหล่าวิทยากรมาให้ความรู้
       ส่วนปริมาณและคุณภาพของนักวิจัยไทยนั้น นางกาญจนา กล่าวว่า มีอัตรา 3 ต่อ 10,000 คน ซึ่งน้อยมากและต้องปรับปรุงตรงนี้ ควรหาวิธีจัดการใหม่และทำให้ครบวงจร ต้องมีจำนวนนักวิจัยที่มีคุณภาพให้เพิ่มมากขึ้น ต้องบูรณาการร่วมกันและต้องเพื่อชุมชนจริงๆ และการให้ทุนนั้นต้องไม่ซ้ำซ้อน เอาเงินไว้กองกลาง มี Fuding Agency มาคิดร่วมกัน ตอนนี้ในรัฐบาลยุคใหม่ เราของบด้านการวิจัย(ปี 2555) ไป 2,500 ล้านบาท นี่คือความคืบหน้าล่าสุด
      
       "บางทีความรู้ที่มีอยู่ไม่ได้ถ่ายทอดร่วมกัน ทั้งๆที่แต่ละปีมีเด็กจบมหาวิทยาลัยออกมาเยอะมาก อาจเป็นเพราะมีอุปสรรคภายนอกหลายอย่าง เช่น สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม โรคติดต่อ พลังงาน มลภาวะ รวมถึงการเข้าสู่ยุคของคนสูงอายุ อีกทั้งภัยธรรมชาติต่างๆ หากต่างคนต่างทำวิจัยไปทางใครทางมัน ต่อไปคงจะแย่แน่"
      
       ด้าน นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ผ.อ.สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงานก.พ. กล่าวถึงการเอาความรู้จากงานวิจัยมาใช้จริงว่า การวิจัยมีหลายอย่าง ทั้งPure Sience และApply Sience โดยเฉพาะ Pure Sience กำลังเป็นที่สนใจ ทั้งในต่างประเทศและเอกชนในบ้านเราเอง การเอาความรู้จากการวิจัยมาใช้ มองว่าทำได้ แต่ต้องรู้จักปรับให้เข้ากับบริบทของเมืองไทย และต้องเปิดใจรับสิ่งแวดล้อมรอบๆข้างด้วย
      
       "ส่วนใหญ่คนที่เป็นนักเรียนทุนกลับมา จะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองทำ มีอัตตามาก เพราะกลับมาอย่างมีไฟ ได้เรียนในสิ่งที่ชอบมา ได้ทำThesis ที่ตัวเองถนัด ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เรียนมาก็ไม่อยากทำ ต่อมาก็มีความเถรตรง ผลวิจัยออกมาอย่างไรก็พูดทุกอย่าง ซึ่งบางทีหากเป็นการวิจัยในระดับผู้บริหาร เราจะพูดโต้งๆไม่ได้ ต้องมีกลเม็ดในการพูด บางคนก็มีความเป็น Politic เข้ามาอีก ซึ่งมันเสียความเป็นมืออาชีพไป สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงของนักเรียนทุน ฉะนั้นต้อง On The Job Learning เติมตัวเองให้เต็ม ตามสังคมให้ทัน อยากให้คลายความเป็นตัวของตัวเองลงบ้าง ต้องอยู่กับโลกวามเป็นจริง อยากให้เปิดกว้างและปรับตัวกับคนรอบข้างให้ได้" 
ผู้เข้าร่วมงาน
       ผ.อ.สถาบันฯ กล่าวอีกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาในการทำงาน แต่กลับมองว่ามันมีเสน่ห์ และเป็นเรื่องธรรมชาติที่นักเรียนทุนต้องเจอ ซึ่งก็พอทราบว่า นักเรียนทุนพอกลับมาแล้วก็อยากถ่ายทอดองค์ความรู้ อยากพูดทุกอย่างที่เรียนมา แต่จริงๆ ลักษณะงานไม่ใช่แค่ตรงนั้น บางทีนักเรียนทุนจบป.โท-ป.เอกมา ก็ต้องมาเดินเอกสาร หรือนั่งจดรายงานการประชุม ต้องอยู่กับสภาพอย่างนี้ให้ได้ อยู่ที่ว่าเราจะเอาความรู้ของเรามาปรับใช้กับคนไทยอย่างไร ต้องมีวิธีการถ่ายโอนความรู้นั้นให้มันเกิดประโยชน์ได้จริงๆในบริบทของบ้านเรา 
      
       "เราต้องชำเลืองดูผู้คนข้างๆ ตลอดเวลา เพื่อหยิบยืมความรู้คนอื่นมาใช้ต่อยอดในงานเรา เราต้องเปิดตัวเองให้มากขึ้น ต้องทำงานเป็นทีมให้ได้ นอกจากนั้นยังต้องมีผู้บริหารที่ดี มีสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดีและต้องมีพี่เลี้ยงที่ดี มอบหมายงานให้ถูกโฉลกกับแต่ละคน ต้องรู้จักให้อภัย เพราะใครๆก็ทำผิดกันได้ หรือรู้จักชมบ้างเพื่อเป็นการให้กำลังใจคนทำงาน เป็นแรงบันดาลให้เขาได้อีกทางหนึ่ง การดึงคนเก่งๆดีๆให้อยู่ในองค์กรให้ได้นั้น หัวหน้ามีส่วนสำคัญมาก"
วิทยากรและพิธีกรดำเนินรายการ
       ส่วน ผศ.ดร.สุรพงษ์ เลิศสิทธิชัย อดีตนักเรียนทุน และอาจารย์วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลมาก่อน เชื่อว่าหลายๆ คนกังวลว่ากลับมาแล้วจะเอาความรู้ที่ได้มานั้น นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างไรบ้าง ส่วนตัวมองว่าตรงนี้เป็นโอกาสที่ทำให้เราทำงานด้านอื่นๆได้อีกมาก 
      
       "เราคนเดียวทำได้หลายอย่าง อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกทำอะไรบ้าง โอกาสมีเยอะ ทำวิจัยได้หลายด้านทั้งบุ๋นและบู๊ มองหาของใกล้ๆตัว ก็อาจจะขายได้เรื่อยๆ เช่น โดรมอนเป็นการ์ตูนที่ฉายมากว่า 60 ปีแล้ว และยุคนี้ก็ยังมีฉายอยู่ แสดงว่ามันขายได้นาน ก็เลยมองว่าคนไทยเราเองก็เป็นชาตินิยมศิลปะ-วัฒนธรรม มันAdd Value ได้เยอะ เรามีศิลปะอยู่ในใจ ทำไมเราไม่เอาตรงนี้เข้ามาทำวิจัย" 
บรรยากาศในห้องประชุม
       ผศ.ดร.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนได้ดูเรื่องงานกราฟิกส์ต่างๆ ก็พบว่า SIPA (สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ Software Industry Promotion Agency) ต้องการที่ปรึกษาด้านดิจิทัล คอนเทนท์ ก็พอที่จะรู้เรื่องและทำได้ ขณะเดียวกันตอนนั้นไทยมีปัญหาเรื่องเด็กติดเกม และยังไม่มีการใครออกแนวทางมาบรรเทาตรงนี้ จึงเข้ามาดูแลด้านอุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชั่น ก็วิจัยพบว่าตลาดเกมในบ้านเรามีมูลค่าหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เรานำเข้ามาจากต่างประเทศ ก็คิดว่าทำไมคนไทยไม่ผลิตเอง จริงๆประเทศไทยพัฒนาได้ เราเน้นความเป็นไทยของเราเข้าไป แล้วทำเกมให้สนุกได้ สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาล 
      
       "แนวทางของการทำงานของนักเรียนทุน เมื่อกลับเมืองไทย มองว่ามันก้ำกึ่ง เราเรียนรู้มาทั้งด้านศิลป์และวิทย์ แต่มันสอดคล้องกัน มันพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีโอกาสได้ทำงานเกี่ยวกับทั้งด้านเทคโนโลยีและด้านมนุษย์ ต้องรู้จักเอาองค์ความรู้มารวมกัน แล้วจะทำให้ทำงานได้ดี ถ้าเราจะย้อนกลับไปดูตัวเอง ต้องดูจากจุดแรกเริ่มว่าเรามาจากไหน และอยากไปทางไหน เราต้องเป็นทั้งFine Art และ Apply Art ไปพร้อมๆกัน จริงๆเราทำอะไรได้เยอะ มันมีแนวทางที่ชัดเจนมาก มีทางให้ไปได้อีกหลายเส้นทางครับ"
ข่าวล่าสุด ในหมวด
มอบการศึกษาที่เท่าเทียม! ด้วย "กระดานดำ"
กูรู ม.ธุรกิจ เผย “อาชีพมาแรงในอนาคต” ต้องยกให้ “เทคโนโลยี-สื่อดิจิทัล”
อุดมศึกษาสู่ตลาดแรงงาน เน้นทั้งปริมาณ-คุณภาพ
ปิดเทอมสร้างสรรค์ : 31 วัน ไม่ธรรมดา
อัพเดทวงการวิจัยไทย! ไขทัศนะนร.ทุนรัฐบาล

ที่มา:http://manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117115